You People (2023): เมื่อการแต่งงานเท่ากับ 2 ฝ่าย ครอบครัวฉัน VS ครอบครัวเธอ

‘เอซรา’ โบรคเกอร์ผู้อยากทำอาชีพพอดแคสเตอร์ วัยกลาง 30 มาจากครอบครัวชาวยิว
‘อมีร่า’ สไตล์ลิสวัยใกล้เคียงกัน มาจากครอบครัวแอฟริกันอเมริกันที่พ่อเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม แต่ยังภาคภูมิใจในความเป็นคนผิวดำของตัวเองอยู่

เป็นสองบ้านที่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยมในแบบของตัวเอง มีความคิดความเชื่อที่ซับซ้อน แน่นอนบ้านอมีร่าไม่อยากได้ลูกเขยเป็นคนผิวขาว โดยเฉพาะพ่อ และบ้านของเอซราก็ไม่เข้าใจวัฒนธรรมใดๆ ของคนผิวดำ ปฎิบัติตัวด้วยก็แปลก โดยเฉพาะแม่

ความสัมพันธ์ของชายหนุ่ม-หญิงสาวคู่นี้พัฒนาขึ้นมาอย่างเรียบง่าย เป็นคนกลางๆ กันทั้งคู่ ไม่ได้อยู่ในวัยเยาว์หล่อเหลาสวยจัด มีหน้าที่การงานระดับกลางๆ ครอบครัวชนชั้นกลาง บังเอิญเจอกัน สนใจกัน แล้วก็นัดออกเดทพูดคุยกันต่อ แต่คุยกันแล้วมันออกมาดี คุยต่อได้เรื่อยๆ มีอารมณ์ขันที่ใกล้เคียงกัน ไม่ได้คาดหวังอะไรมาจนถึงวันที่อยากแต่งงาน และต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่าความลำบากมันอยู่ต่อจากนี้นี่แล

ด้วยโทนการเล่าเรื่องแบบคอมเมดี้ห่ามๆ ผ่านบทสนทนายาวๆ มากมาย เราไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่า You People จะโดนใจมหาชนชาวโรแมนติก-คอมเมดี้มากแค่ไหน แต่โดยส่วนตัวเราชอบมากทีเดียวค่ะ

พักหลังมานี้เหมือนหนังรักไหลเข้ามาในชีวิตตามช่วงวัย ตอนเด็กกว่านี้เราเคยคิดว่าความรักเป็นเรื่องของคนสองคน แต่งงานกันฉันกับเธอ เราไม่ได้แต่งกับพ่อฉันแม่เธอสักหน่อย อุปสรรคมีไว้พิชิตเพื่อพิสูจน์รักแท้ แต่แก่มาแล้วก็ค้นพบอย่างช้าๆ ว่าครอบครัวที่รักและปรารถนาดีกับเราเค้าไม่ใช่ศัตรู ไม่ใช่ผู้คนที่ต้องฟาดฟัน และการครองคู่กันในแบบที่ครอบครัวฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายไม่เห็นด้วย มันหมายถึงความทุกข์อันใหญ่หลวง หมายถึงการสละพื้นที่ปลอดภัยที่เราเคยมี และในหนังเรื่องนี้ตัวละครก็พูดถึงเรื่องนี้อย่างเรียบง่ายประมาณว่า ‘ช่างแม่งแล้วไม่ต้องไปเจอบ้านฉันบ้านเธอแล้วดีมั้ย’ แล้วก็หัวเราะใส่กันว่า ‘เธอก็รู้ว่ามันไม่ได้’ แค่นั้นเลยจริงๆ

ฝั่งคอมเมดี้ค่อนข้างห่าม แต่สถานะการณ์ที่เหลือออกไปทาง ‘เป็นจริง’ ทั้งสองบ้านรู้ว่าลูกโตแล้ว ไม่ได้ประกาศกร้าวห้าม ไม่ได้ถึงกับวางแผนพังงานแต่งหรือสร้างสถานการณ์ใดๆ ไม่ได้ปฏิเสธการพบเจอ ไม่ได้พูดกดดันลูกตัวเอง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือการยืนยันความคิดความเชื่อตัวเองอย่างไม่ผ่อนปรน ตั้งกำแพงด้วยอคติภายในใจ มันธรรมดามาก แต่เป็นจริงมาก และก็สู้ยากเหลือเกิน เลยดูไปขำไปเป็นแบบหน่วงในใจ เหมือนต้องพยายามช่วยคิดตลอดว่าแล้วมันจะมีทางออกหน้าตาแบบไหน

ท้ายสุดสิ่งที่เราได้จากหนังเรื่องนี้นอกจากความบันเทิงก็คือ ได้รู้ว่า …

คนเราต้องไม่ยอมเสียความรู้สึกเพื่อรักษาความสัมพันธ์จริงๆ นะ ไม่ว่าความสัมพันธ์นั้นจะมีหน้าตาเป็นแบบไหนก็ตาม จะคนรัก จะพ่อแม่ ว่าที่พ่อตาแม่ยาย ไม่ว่าช้าหรือเร็วเราก็ต้องพูดความรู้สึก ยิ่งช้ายิ่งพัง

ข้อต่อมา…เราต้องวางใจในความรักของผู้อื่น แม้จะใช้เวลา แต่ถ้าสายสัมพันธ์มันแข็งแรงพอ คนที่รักเราเขาจะไม่ปล่อยให้เราเป็นทุกข์ แค่บางทีอาจจะต้องการเวลาตกผลึก จะเร็วจะช้า ขึ้นอยู่กับต้นทุนหัวใจและวิธีคิดแต่ละคน

และท้ายสุด ความรักไม่เคยเป็นเรื่องของคนสองคนค่ะ มันคือ ฉัน+ครอบครัวฉัน และ เธอ+ครอบครัวเธอ

สมาคมนิยมหนังหวาน
คุณให้หนังเรื่องนี้กี่คะแนน
[Total: 0 Average: 0]

แชร์:

Facebook
Twitter
Email
Print